วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

TMB แจง H1/58 กำไรลดลง เหตุตั้งสำรองเพิ่ม รองรับความเสี่ยงศก.



นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  ธนาคารทหารไทย (TMB) เปิดผยว่า ธนาคารประกาศผลการดำเนินงาน สำหรับงวด 6 เดือนของปี 2558 ธนาคารและบริษัทย่อยมีผลกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองจานวน 8,605 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เมื่อหักสำรองแล้วกำไรสุทธิมีจำนวน 3,897 ล้านบาท ลดลง 6.7%

"ในครึ่งปีแรกนี้ ธนาคารตั้งสำรองจำนวน 3,736 ล้านบาท ซึ่งสูงจากปีที่แล้ว 154% เพื่อรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงมากขึ้น ทำให้ในครึ่งปีแรกธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 3,897 ล้านบาท ลดลง 6.7% และยังคงความแข็งแกร่งของสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ที่ 146%"

ขณะที่เงินฝากของธนาคารขยายตัว 3.8% ในงวด 6 เดือนแรกของปี จากผลิตภัณท์เงินฝากคุณภาพประเภทต่างๆ เช่น เงินฝากไม่ประจำ (TMB No Fixed) และผลิตภัณท์ใหม่ TMB All Free ที่เน้นย้ำความสำคัญของการเป็นธนาคารเพื่อการทำธุรกรรมทางการเงิน (transactional bank) ส่วนสินเชื่อคุณภาพ (performing loan) เพิ่มขึ้น 3.6% ในงวด 6 เดือน

จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อคุณภาพและการบริหารต้นทุนเงินฝากที่ดี ทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2558 นี้ ธนาคารมีส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (Net Interest Margin – NIM) เพิ่มขึ้น 21bp เป็น 3.04% จาก 2.83% ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 11%

อีกทั้งสืบเนื่องจากการที่ธนาคารให้ความสำคัญกับการให้บริการลูกค้าและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้ดี ทำให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 29% โดยเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเป็นหลักซึ่งเพิ่มขึ้น 49% ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของค่าธรรมเนียมจากการขายกองทุนรวม ซึ่งธนาคารมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย รวมถึงการขายผลิตภัณฑ์แบงก์แอสชัวรันส์ที่เติบโตได้ดี ทั้งนี้ จากการที่ธนาคารเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเพียง 3% ในขณะที่รายได้รวมเพิ่ม 16% ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้นเป็น 47% จาก 53% และทำให้กำไรจากการดาเนินงานหลักก่อนสำรองในงวดครึ่งปีแรกมีจานวน 8,605 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้ว 30%

ณ สิ้นเดือนมิถุนายน สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) ของธนาคารอยู่ที่ 3.09% และสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) มีจำนวน 20,055 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 เป็นจำนวน 865 ล้านบาท หรือ  4% เทียบกับการเพิ่มขึ้นจำนวน 1,097 ล้านบาทหรือ 6% ในไตรมาสที่แล้ว

ส่วนในไตรมาส 2 ธนาคารฯ มีผลกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรอง จำนวน  4,286 ล้านบาท ซึ่งทรงตัวจากไตรมาสที่ 1 และมีกำไรสุทธิ จำนวน 2,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% เนื่องจากสำรองที่ลดลงหลังตั้งสำรองสูงในไตรมาสที่แล้ว

ในไตรมาสที่ 2 นี้ ธนาคารฯ มีเงินฝากเพิ่ม 2.0% ขณะที่สินเชื่อคุณภาพเพิ่มขึ้น 2.1% จากไตรมาสที่แล้ว กำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองมีจำนวน 4,286 ล้านบาท ซึ่งทรงตัวจากไตรมาสที่ 1 อย่างไรก็ตาม ธนาคารตั้งสำรองลดลงเป็น 1,348 ล้านบาท เนื่องจากในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานั้น ธนาคารได้ตั้งสำรองสูงเป็นพิเศษเพื่อรองรับความเสี่ยงเป็นจานวน 2,387 ล้านบาท ทั้งนี้ ทำให้ธนาคารมีกำไรสุทธิในไตรมาส  2 จำนวน 2,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% จากไตรมาสที่แล้ว

ธนาคารยังคงดำรงสถานะกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ภายใต้เกณฑ์ Basel III อยู่ที่ 17.0% ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่ 1 (Tier 1) ในสัดส่วน 11.3% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน

นายบุญทักษ์ กล่าวว่า ในครึ่งปีหลัง ธนาคารจะยังคงดำเนินงานอย่างระมัดระวังและดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิดเพื่อผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ธนาคารมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณท์และบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาด เพื่อเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมและนำเสนอบริการที่ดีเลิศให้กับลูกค้า พร้อมกับการเพิ่มประสิทธิของการดำเนินงานเพื่อให้ธนาคารมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

                        ที่มา : สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)   อ่านต่อได้ที่ : http://www.ryt9.com/s/iq05/2207584

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น