ทีเอ็มบี หรือ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงาน
สำหรับงวด 6 เดือนของปี 2558 ธนาคารและบริษัทย่อยมีผลกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองจานวน
8,605 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
เมื่อหักสำรองแล้วกำไรสุทธิมีจำนวน 3,897 ล้านบาท ลดลง 6.7% ส่วนในไตรมาส 2
ธนาคารฯ
มีผลกำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรอง จานวน 4,286 ล้านบาท
ซึ่งทรงตัวจากไตรมาสที่ 1 และมีกำไรสุทธิจำนวน 2,260 ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 38% เนื่องจากสำรองที่ลดลงหลังตั้งสารองสูงในไตรมาสที่แล้ว
เงินฝากของธนาคารขยายตัว 3.8% ในงวด 6 เดือนแรกของปี
จากผลิตภัณท์เงินฝากคุณภาพประเภทต่างๆ เช่น เงินฝากไม่ประจำ (TMB No Fixed)
และผลิตภัณท์ใหม่
TMB All Free ที่เน้นย้ำความสำคัญของการเป็นธนาคารเพื่อการทำธุรกรรมทางการเงิน (transactional
bank) ส่วนสินเชื่อคุณภาพ (performing loan) เพิ่มขึ้น 3.6%
ในงวด
6 เดือน
นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทีเอ็มบี กล่าวว่า “จากการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อคุณภาพและการบริหารต้นทุนเงินฝากที่ดี
ทำให้ครึ่งปีแรกของปี 2558 นี้ ธนาคารมีส่วนต่างดอกเบี้ยรับ (Net
Interest Margin – NIM) เพิ่มขึ้น 21bp เป็น 3.04% จาก 2.83%
ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
และทำให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 11% อีกทั้งสืบเนื่องจากการที่ธนาคารให้ความสำคัญกับการให้บริการลูกค้าและนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าได้ดี
ทำให้รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 29% โดยเกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่าธรรมเนียมสุทธิเป็นหลักซึ่งเพิ่มขึ้น
49% ส่วนใหญ่มาจากการขยายตัวของค่าธรรมเนียมจากการขายกองทุนรวม
ซึ่งธนาคารมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย
รวมถึงการขายผลิตภัณฑ์แบงก์แอสชัวรันส์ที่เติบโตได้ดี ทั้งนี้
จากการที่ธนาคารเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทำให้ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเพียง 3% ในขณะที่รายได้รวมเพิ่ม
16% ทำให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้นเป็น 47% จาก 53%
และทำให้กำไรจากการดาเนินงานหลักก่อนสำรองในงวดครึ่งปีแรกมีจานวน
8,605 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่แล้ว 30%”
ณ สิ้นเดือนมิถุนายน สัดส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL Ratio) ของธนาคารอยู่ที่
3.09% และสินเชื่อด้อยคุณภาพ (NPL) มีจำนวน 20,055 ล้านบาท
ซึ่งเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 เป็นจำนวน 865 ล้านบาท หรือ 4%
เทียบกับการเพิ่มขึ้นจำนวน
1,097 ล้านบาทหรือ 6% ในไตรมาสที่แล้ว โดยในครึ่งปีแรกนี้
ธนาคารตั้งสำรองจำนวน 3,736 ล้านบาท ซึ่งสูงจากปีที่แล้ว 154% เพื่อรองรับสถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความเสี่ยงมากขึ้น
ทำให้ในครึ่งปีแรกธนาคารมีกำไรสุทธิจำนวน 3,897 ล้านบาท ลดลง 6.7%
และยังคงความแข็งแกร่งของสัดส่วนสำรองต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ
(Coverage Ratio) ที่ 146%
ในไตรมาสที่ 2 นี้ ธนาคารฯ มีเงินฝากเพิ่ม 2.0% ขณะที่สินเชื่อคุณภาพเพิ่มขึ้น
2.1% จากไตรมาสที่แล้ว กำไรจากการดำเนินงานหลักก่อนสำรองมีจำนวน 4,286
ล้านบาท
ซึ่งทรงตัวจากไตรมาสที่ 1 อย่างไรก็ตาม ธนาคารตั้งสำรองลดลงเป็น 1,348
ล้านบาท
เนื่องจากในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานั้น ธนาคารได้ตั้งสำรองสูงเป็นพิเศษเพื่อรองรับความเสี่ยงเป็นจานวน
2,387 ล้านบาท ทั้งนี้ ทำให้ธนาคารมีกำไรสุทธิในไตรมาส 2 จำนวน 2,260
ล้านบาท
เพิ่มขึ้น 38% จากไตรมาสที่แล้ว
ธนาคารยังคงดำรงสถานะกองทุนที่แข็งแกร่ง
โดยมีระดับความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ภายใต้เกณฑ์ Basel III อยู่ที่ 17.0%
ซึ่งเป็นกองทุนชั้นที่
1 (Tier 1) ในสัดส่วน 11.3% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน
นายบุญทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า “ในครึ่งปีหลัง ธนาคารจะยังคงดำเนินงานอย่างระมัดระวังและดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิดเพื่อผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ธนาคารมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณท์และบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาด เพื่อเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมและนำเสนอบริการที่ดีเลิศให้กับลูกค้า พร้อมกับการเพิ่มประสิทธิของการดำเนินงานเพื่อให้ธนาคารมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
นายบุญทักษ์ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า “ในครึ่งปีหลัง ธนาคารจะยังคงดำเนินงานอย่างระมัดระวังและดูแลคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิดเพื่อผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ธนาคารมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณท์และบริการใหม่ๆ ออกสู่ตลาด เพื่อเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมและนำเสนอบริการที่ดีเลิศให้กับลูกค้า พร้อมกับการเพิ่มประสิทธิของการดำเนินงานเพื่อให้ธนาคารมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง”